เมนู

[817] บุคคลควรเรียนวิชาที่ควรเรียนทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเลว ดี หรือปานกลางก็ตาม บุคคล
ควรรู้ประโยชน์ของวิชาที่เรียนทุกอย่าง แต่
ไม่ควรประกอบทั้งหมด ศิลปที่ศึกษาแล้ว
นำประโยชน์ให้ในเวลาใด แม้เวลาเช่นนั้น
ย่อมมีแท้.

จบ มูสิกชาดกที่ 3

อรรถกถามูสิกชาดกที่ 3


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
พระเจ้าอชาตศัตรู จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กุหึ
คตา กตฺถ คตา
ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารมาแล้วในถุสชาดก ในหนหลังนั่นแล
ส่วนในชาดกนี้ พระศาสดาทรงเห็นพระราชาทรงหยอกเล่นกับพระ-
โอรสพลาง ทรงฟังธรรมพลางอย่างนั้น ทรงทราบว่า ภัยจักเกิดขึ้น
แก่พระราชา เพราะอาศัยพระโอรสนั้น จึงตรัสว่า มหาบพิตร
พระราชาครั้งเก่าก่อนทั้งหลาย ทรงรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ ได้ทรง
การทำโอรสของพระองค์ไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ด้วยทรงดำริว่า
พระโอรสจงครองราชสมบัติในเวลาเราแก่ชราตามัว แล้วทรงนำเอา
เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ในเมืองตักกศิลา ได้
เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์. โอรสของพระเจ้าพาราณสี พระนามว่า
ยวกุมาร ได้เรียนศิลปะทุกอย่างในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น แล้ว
ให้การซักถามคือทดสอบวิชาแล้ว ประสงค์จะกลับมาบ้านเมือง จึง
อำลาอาจารย์นั้น. อาจารย์รู้ได้ด้วยอำนาจวิชาดูอวัยวะว่า อันตราย
จักมีแก่กุมารนี้เพราะอาศัยบุตรเป็นเหตุ คิดว่าเราจักบำบัดอันตราย
ของพระกุมารนั้น จึงเริ่มไตร่ตรองหาข้อเปรียบเทียบสักข้อหนึ่ง.
ก็ในกาลนั้น ม้าของอาจารย์ทิศาปาโมกข์นั้นมีอยู่ตัวหนึ่งแผลเกิดขึ้น
ที่เท้าของม้านั้น. พวกคนเลี้ยงม้าจึงกระทำม้าตัวนั้นไว้เฉพาะใน
เรือน เพื่อจะตามรักษาแผล. ในที่ไม่ไกลเรือนนั้นมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง
ครั้งนั้น หนูตัวหนึ่งออกจากเรือนกัดแผลที่เท้าของม้า. ม้าไม่สามารถ
จะห้ามมันได้. วันหนึ่ง ม้านั้นไม่อาจอดกลั้นเวทนาได้ จึงเอาเท้า
ดีดหนูซึ่งมากัดกินแผลให้ตายตกลงไปในบ่อน้ำ. พวกคนเลี้ยงม้าไม่
เห็นหนูมาจึงกล่าวกันว่า ในวันอื่น ๆ หนูมากัดแผล บัดนี้ไม่ปรากฏ
มันไปเสียที่ไหนหนอ. พระโพธิสัตว์กระทำเหตุนั้นให้ประจักษ์แล้ว
กล่าวว่าคนอื่น ๆ ไม่รู้ จึงพากันกล่าวว่า หนูไปเสียที่ไหน แต่เรา
เท่านั้นย่อมรู้ว่าหนูถูกม้าฆ่าแล้วดีดลงไปในบ่อน้ำ. พระโพธิสัตว์นั้น
จึงกระทำเหตุนี้นั่นแหละให้เป็นข้อเปรียบเทียบ แล้วประพันธ์เป็น
คาถาที่หนึ่งมอบให้แก่พระราชกุมาร. พระโพธิสัตว์นั้นไตร่ตรองหาข้อ

เปรียบเทียบข้ออื่นอีก ได้เห็นม้าตัวนั้นแหละมีแผลหายแล้ว ออกไป
ที่ไร่ข้าวเหนียวแห่งหนึ่ง แล้วสอดปากเข้าไปทางช่องรั้ว ด้วยหวังว่า
จักกินข้าวเหนียว จึงกระทำเหตุนั้นแหละให้เป็นข้อเปรียบเทียบ แล้ว
ประพันธ์เป็นคาถาที่ 2 มอบให้แก่พระราชกุมารนั้น ส่วนคาถาที่ 3
พระโพธิสัตว์ประพันธ์โดยกำลังปัญญาของตน มอบคาถาที่ 3 แม้นั้น
ให้แก่พระราชกุมารนั้นแล้วกล่าวว่า ดูก่อนพ่อ เธอดำรงอยู่ในราช-
สมบัติแล้ว เวลาเย็นเมื่อจะไปสระโบกขรณีสำหรับสรงสนาน พึงเดิน
ท่องบ่นคาถาที่ 1 ไปจนถึงบันใดอันใกล้ เมื่อจะเข้าไปยังปราสาท
อันเป็นที่อยู่ของเธอ พึงเดินท่องบ่นคาถาที่ 2 ไปจนถึงที่ใกล้เชิง
บันได ต่อจากนั้นไป พึงเดินท่องบ่นคาถาที่ 3 ไปจนถึงหัวบันได
ครั้นกล่าวแล้วจึงส่งพระกุมารไป. พระกุมารนั้นครั้นไปถึงแล้วได้เป็น
อุปราช เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติ. โอรส
องค์หนึ่งของพระองค์ประสูติแล้ว. พระโอรสนั้น ในเวลามีพระวัสสา
16 ปี คิดว่าจักปลงพระชนม์พระบิดา เพราะความโลภในราชสมบัติ
จึงตรัสกะอุปัฏฐาก (มหาดเล็ก) ทั้งหลายว่า พระบิดาของเรายังหนุ่ม
เราคอยเวลาถวายพระเพลิงพระบิดานี้ จักเป็นคนแก่คร่ำคร่าเพราะ
ชรา ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแม้ที่ได้ในกาลเช่นนั้น. อุปัฏฐาก
เหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ไม่อาจไปยังประเทศชาย
แดนแล้วกระทำความเป็นโจร พระองค์จงปลงพระชนม์พระบิดาของ
พระองค์ด้วยอุบายบางอย่างแล้วยึดเอาราชสมบัติ. พระโอรสนั้นรับว่า
ได้ แล้วไปยังที่ใกล้สระโบกขรณีสำหรับสรงสนานตอนเย็นของพระ-

ราชา ในภายในพระราชนิเวศน์ ได้ถือพระขรรค์ยืนอยู่ด้วยตั้งใจว่า
จักฆ่าพระบิดานั้น ณ ที่นี้. ในเวลาเย็น พระราชาทรงสั่งนางทาสี
ชื่อหนูไปด้วยพระดำรัสว่า เจ้าจงไปชำระหลังสระโบกขรณีให้สะอาด
แล้วจงมา เราจักอาบน้ำ. นางทาสีนั้นไปชำระหลังสระโบกขรณีอยู่
เห็นพระกุมาร. พระกุมารจึงฟันนางทาสีนั้นขาด 2 ท่อน แล้วทิ้ง
ให้ตกลงไปในสระโบกขรณี เพราะกลัวว่ากรรมของตนจะปรากฏขึ้น.
พระราชาได้เสด็จไปเพื่อจะสรงสนาน. ชนที่เหลือกล่าวว่า แม้จนวันนี้
นางหนูผู้เป็นทาสียังไม่กลับมา นางหนูไปไหน ไปที่ไร. พระราชา
ตรัสคาถาที่ 1 ว่า :-
คนพร่ำบ่นอยู่ว่า นางหนูไปไหน นาง
หนูไปไหน เราคนเดียวเท่านั้นรู้ว่า นางหนู
ตายอยู่ในบ่อน้ำดังนี้.

พระองค์ได้เสด็จไปถึงฝั่งสระโบกขรณี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุหึ คตา กตฺถ คตา เป็นคำ
ไวพจน์ของกันและกัน. บทว่า อิติ ลาลปฺปตี ได้แก่ บ่นเพ้ออยู่
อย่างนั้น. ดังนั้น คาถานี้แสดงเนื้อความนี้แก่พระราชาผู้ไม่ทรง
ทราบเลยแหละว่า ชนผู้ไม่รู้ย่อมพร่ำบ่นว่า นางหนูผู้เป็นทาสีไปไหน
แต่เราผู้เดียวเท่านั้นรู้ว่า นางหนูถูกพระราชกุมารฟันขาดสองท่อน
แล้วโยนให้ตกลงในสระโบกขรณี.

พระราชาได้เสด็จดำเนินตรัสคาถาที่ไปถึงฝั่งสระโบกขรณี.
พระกุมารคิดว่า พระบิดาของเราได้ทรงทราบกรรมที่เรากระทำไว้
จึงกลัวหนีไปบอกเรื่องนั้นแก่พวกอุปัฏฐาก. พอล่วงไป 7 - 8 วัน
อุปัฏฐากเหล่านั้นจึงทูลพระกุมารนั้นอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้า
พระราชาจะทรงทราบไซร้ จะไม่ทรงนิ่งไว้ ก็คำนั้นคงจะเป็นคำที่
พระราชานั้นตรัสโดยทรงคาดคะเนเอา พระองค์จงปลงพระชนม์
พระบิดานั้นเถิด. วันรุ่งขึ้น พระกุมารนั้นถือพระขรรค์ประทับยืนที่
ใกล้เชิงบันใด ในเวลาพระราชาเสด็จมา ทรงมองหาโอกาสที่จะ
ประหารไปรอบด้าน. พระราชาได้เสด็จดำเนินสาธยายคาถาที่ 2 ว่า :-
เหตุใดท่านจึงคิดอย่างนี้ และมองหา
โอกาสจะประหารทางโน้นทางนั้นแล้วกลับไป
เสมือนลา เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่า ท่านฆ่า
ทาสีชื่อว่านางหนูตายทิ้งไว้ในบ่อน้ำ วันนี้
ยังปรารถนาจะบริโภคโภชนะข้าวเหนียวอีก
หรือ.

แม้คาถานี้ก็แสดงเนื้อความนี้สำหรับพระราชาผู้ไม่ทรงทราบ
เลยว่า เพราะเหตุที่นั้นคิดอย่างนี้ และมองหาโอกาสจะประหารอยู่
ทางโน้นทางนี้แล้วกลับไปเสมือนลาฉะนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงรู้จัก
ท่านว่า วันก่อนท่านฆ่าทาสีชื่อนางหนูที่สระโบกขรณี1 วันนี้ ยัง
ปรารถนาจะบริโภคโภชนะข้าวเหนียวอีก.1
1. ตรงนี้น่าจะเป็นว่า "วันนี้ ยังปรารถนาจะฆ่าพระเจ้ายวราชอีก."

พระกุมารสะดุ้งพระทัยหนีไปด้วยคิดว่า พระบิดาเห็นเราแล้ว.
พระกุมารนั้นให้เวลาล่วงไปประมาณกึ่งเดือนแล้วคิดว่า จักเอาท่อนไม้
ประหารพระราชาให้ตาย จึงถือท่อนไม้สำหรับประการท่อนหนึ่งมี
ด้ามยาวแล้วได้ยืนกุมอยู่. พระราชาตรัสว่า :-
แน่ะเจ้าผู้โง่เขลา เจ้ายังเป็นเด็กอ่อน
ตั้งอยู่ในปฐมวัย มีผมดำสนิท มายืนถือ
ท่อนไม้ยาวนี้อยู่ เราจะไม่ยอมยกชีวิตให้
แก่เจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฐมุปฺปตฺติโต1 ได้แก่ อุบัติคือ
ประกอบด้วยปฐมวัย อธิบายว่า ตั้งอยู่ในปฐมวัย. บทว่า สุสู
แปลว่า ยังเป็นหนุ่ม. บทว่า ทีฆํ ได้แก่ ท่อนไม้สำหรับประหาร
มีด้ามยาว. บทว่า สมาปชฺช ความว่า เจ้ามายืนถือกุมไว้. คาถา
แม้นี้ก็ข่มขู่พระกุมาร แสงเนื้อความนี้ สำหรับพระราชาผู้ไม่รู้
นั้นแลว่า เจ้าคนโง่เจ้าจักไม่ได้บริโภคข้าวเหนียวของตน บัดนี้
เราจักไม่ให้ชีวิตแก่เจ้าผู้ไม่มีความละอาย เราจักฆ่าตัดให้เป็นท่อน
น้อยท่อนใหญ่ แล้วให้เสียบไว้บนหลาวนั่นแหละ.
พระราชาทรงสาธยายคาถาที่ 3 พลางขึ้นถึงหัวบันใด. วันนั้น
พระกุมารนั้นไม่อาจหลบหนี กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์
โปรดประทานชีวิตแก่ข้าพระองค์เถิดพระเจ้าข้า แล้วหมอบลงที่ใกล้
พระบาทของพระราชา. พระราชาทรงคุกคามพระกุมารนั้นแล้ว ให้
1. บาลี เป็น ปฐมุปฺปตฺติโก.

จองจำด้วยโซ่ตรวน แล้วให้ขังไว้ในเรือนจำ ทรงนั่งเหนือราชอาสน์
ที่ประดับประดา ณ ภายใต้เศวตฉัตร ทรงดำว่า พราหมณ์ทิศา-
ปาโมกข์ผู้อาจารย์ของเรา เห็นอันตรายนี้แก่เรา จึงได้ให้คาถา 3
คาถานี้ จึงร่าเริงยินดี เมื่อจะเปล่งอุทาน จึงได้ตรัสคาถาที่เหลือว่า :-
เราเป็นผู้อันบุตรปรารถนาจะฆ่าเสีย จะ
พ้นจากความตายเพราะภพในอากาศ หรือ
เพราะบุตรที่รับเปรียบด้วยอวัยวะก็หาไม่ เรา
พ้นจากความตายเพระคาถาที่อาจารย์ผูกให้.
บุคคลควรเรียนวิชาที่ควรเรียนทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเลว ดี หรือปานกลาง บุคคลควรรู้
ประโยชน์ของวิชาที่เรียนทั้งหมด แต่ไม่ควร
ประกอบใช้ทั้งหมด ศิลปะที่ศึกษาแล้วนำ
ประโยชน์มาให้ในเวลาใด แม้เวลาเช่นนั้น
ย่อมจะมีแท้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นานฺตลิกฺขภวเนน ความว่า
ทิพยวิมานเรียกกว่าภพในอากาศ วันนี้ เรามิได้ขึ้นแม้สู่ภพในอากาศ
เพราะฉะนั้น เราจึงมิได้พ้นจากความตายในวันนี้ แม้เพราะภพใน
อากาศ. บทว่า นางฺคปุตฺตสิเรน วา ความว่า หรือว่า เรามิได้
พ้นจากความตาย แม้เพราะบุตรอันเห็นเสมอด้วยอวัยวะ. บทว่า

ปุตฺเตน หิ ปฏิฐยิโต ความว่า ก็เราอันบุตรของตนเองปรารถนา.
จะฆ่าในวันนี้. บทว่า สิโลเกหิ ปโมจิโต ความว่า เรานั้นเป็นผู้
พ้นจากความตาย เพราะคาถาทั้งหลายที่อาจารย์ของตนประพันธ์ให้มา
บทว่า สุตํ ได้แก่ ปริยัติการเล่าเรียน. บทว่า อธีเยถ ได้แก่
พึงเรียน คือ ศึกษาเอา. ด้วยบทว่า หีนมุกฺกฏฺฐมชฺฌิมํ นี้ ท่าน
แสดงว่า วิชาที่เรียนไม่ว่าจะต่ำ ปานกลาง หรือ ชั้นสูงก็ตาม
บุคคลควรเรียนทั้งหมด. บทว่า น จ สพฺพํ ปโยชเย ความว่า
ไม่ควรประกอบใช้มนต์ชั้นต่ำ หรือศิลปะชั้นกลาง ควรประกอบใช้
แต่ชั้นสูงเท่านั้น. บทว่า ยตฺถ อตฺถำวหํ สุตํ ความว่า ศิลปะ
ที่ได้ศึกษาแล้วชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่นการปั้นหม้อของมโหสถบัณฑิต
ย่อมนำประโยชน์มาให้ในกาลใด กาลแม้นั้นย่อมจะมีทีเดียว.
ในกาลต่อมา เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว พระกุมารก็ได้ดำรง
อยู่ในราชสมบัติ.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึง
ทรงประชุมชา กว่า ก็อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในครั้งนั้น ได้เป็นเรา
ตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามูสิกชาดกที่ 3

4. จุลลธนุคคหชาดก


ว่าด้วยจุลลธนุคคหบัณฑิต


[818] ข้าแต่พราหมณ์ ท่านถือเอาห่อเครื่อง
ประดับทั้งหมดข้ามฝั่งไปแล้ว ขอจงรีบกลับ
มา รีบเอาฉันข้ามไปบัดนี้ด้วย.
[819] แน่ะนางผู้เจริญ ท่านนับถือเราผู้อันท่าน
ไม่เคยเชยชิด ยิ่งเสียกว่าสามีผู้ที่เคยเชยชิด
มานาน นับถือเราผู้ไม่ใช่ผัวเสียยิ่งกว่าผัว นาง
ผู้เจริญจะพึงนับถือผู้อื่นยิ่งกว่าเราอีก เราจัก
ไปให้ไกลยิ่งกว่าที่นี้อีก.
[820] ใครนี่มาทำการหัวเราะอยู่ในพุ่มตะไตร้น้ำ
ในที่นี้ก็ไม่มีการฟ้อนรำขับร้อง หรือการดีดสี
ตีเป่า แน่ะนางงามผู้มีตะโพกอันผึ่งผาย ทำไม
เจ้าจึงมาหัวเราะอยู่ในเวลาที่ควรร้องไห้.
[821] แน่ะสุนัขจิ้งจอกพาลผู้โง่เขลาชาติชัม-
พุกะ เจ้าเป็นสัตว์มีปัญญาน้อย เสื่อมจาก
ปลาและชิ้นเนื้อ ซบเซาอยู่ เหมือนคน
กำพร้า.